รวบรวม “กองทุนทุกประเภท” ที่ควรรู้

1005

อย่าลืม Subcribe จะได้ไม่พลาด

Facebook | Youtube | Line | Website

#Punphol101 รวบรวม “กองทุนทุกประเภท” ที่ควรรู้

#ป๊าอิก สอน #น้องปันผล จด :)⁣⁣⁣⁣

#ทุกเรื่องที่นักลงทุนต้องรู้ #tameig ⁣#วางแผนการเงิน⁣⁣

————–⁣⁣⁣

 ⁣Ep.1 ค่าธรรมเนียมที่ต้องรู้ ก่อนซื้อกองทุน ⁣⁣⁣

https://bit.ly/Ep01_Fundfee⁣⁣⁣

Ep.2 อ่านหนังสือชี้ชวน แบบง่ายนิดเดียว (Fund Fact Sheet) ⁣⁣⁣

https://bit.ly/Ep02_FundFactSheet⁣

Ep.3 NAV ต่ำแปลว่าถูก สูงแปลว่าแพง?⁣⁣⁣

https://bit.ly/Ep03_NAV

Ep.4 รวบรวมบัญชี e-savings ดอกเบี้ยสูงที่ต้องมี สู้เงินเฟ้อ⁣

https://bit.ly/Ep04_e-savings

แบ่งตามลักษณะการจัดจำหน่าย และการไถ่ถอนคืนหน่วยลงทุน⁣

กองทุนเปิด⁣
– สามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ⁣
– มีสภาพคล่อง เนื่องจากซื้อ-ขายได้ตลอด⁣
– เป็นรูปแบบกองทุนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน⁣

กองทุนปิด⁣
– สามารถซื้อได้ในช่วงเวลาหนึ่ง และจะไม่สามารถขายได้จนกว่าจะครบกำหนดเวลาที่กำหนด⁣
-สภาพคล่องน้อย เนื่องจากหากต้องการขายต้องไปขายในตลาดรอง (ขายทอดตลาด)⁣
– เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) และ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT)⁣

แบ่งตามระดับความเสี่ยง⁣

1. กองทุนรวมตลาดเงิน (ในประเทศ)⁣

ความเสี่ยงระดับ 1⁣

ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีสภาพคล่องคล้ายเงินสดหรือใกล้เคียง เช่น ลงทุนในเงินฝาก หรือให้สถาบันต่าง ๆ กู้ยืม ตัวอย่างคือ ตั๋วเงิน รวมถึงตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 1 ปี ⁣

เหมาะกับใคร: รับความเสี่ยงได้น้อย ต้องการที่พักเงิน⁣

—-⁣

2. กองทุนรวมตลาดเงิน (ในและต่างประเทศ)⁣

ความเสี่ยงระดับ 2⁣

เช่น เงินฝาก ตั๋วเงิน รวมถึงตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยไม่เกิน 1 ปี เหมือนกลุ่มแรก แต่มีการลงทุนในต่างประเทศบางส่วน และมักจะมีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเอาไว้⁣

เหมาะกับใคร: คนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น

แบ่งตามระดับความเสี่ยง⁣

⁣3. กองทุนรวมพันธบัตรรัฐบาล⁣

ความเสี่ยงระดับ 3⁣

เน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรรัฐวิสาหกิจ โดยมีอายุเฉลี่ยมากกว่า 1 ปีขึ้นไป⁣

เหมาะกับใคร: คนที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก⁣

—-⁣

4. กองทุนรวมตราสารหนี้⁣

ความเสี่ยงระดับ 4⁣

ลงทุนในตราสารหนี้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรรัฐวิสาหกิจ ตั๋วเงินคลัง และหุ้นกู้เอกชน ซึ่งมีทั้งกองที่ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น (อายุเฉลี่ยไม่เกิน 1 ปี) และตราสารหนี้ระยะยาว (อายุเฉลี่ยมากกว่า 1 ปี)⁣

เหมาะกับใคร: ต้องการกระจายความเสี่ยง

แบ่งตามระดับความเสี่ยง⁣

⁣5. กองทุนรวมผสม⁣

ความเสี่ยงระดับ 5⁣

ลงทุนในสินทรัพย์ได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเงินฝาก ตราสารหนี้ ตราสารทุน (หุ้น) หรืออื่น ๆ ตามสัดส่วนที่ระบุในนโยบายการลงทุน⁣

เหมาะกับใคร: มือใหม่ที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น⁣

—-⁣

6. กองทุนรวมตราสารทุน⁣

ความเสี่ยงระดับ 6⁣

เน้นลงทุนในหุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น SSF SSFX และ RMF ⁣

เหมาะกับใคร: ชอบการลงทุนในหุ้น แต่ไม่มีเวลาเฝ้าหน้าจอ⁣

แบ่งตามระดับความเสี่ยง⁣

⁣7. กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม⁣

ความเสี่ยงระดับ 7⁣

เน้นลงทุนในหุ้น แต่เจาะจงอุตสาหกรรมมากขึ้น เช่น หุ้นธนาคาร หุ้นสื่อสาร หุ้นโรงพยาบาล ฯลฯ ⁣

ความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนรวมตราสารทุนทั่วไป เนื่องจากมีการลงทุนแบบกระจุกตัว ดังนั้น ควรมีความรู้ความเข้าใจในอุตสาหกรรมนั้นๆ อย่างดี⁣

เหมาะกับใคร: ชอบการลงทุนในหุ้น และเห็นโอกาสการเติบโตในบางกลุ่มธุรกิจ⁣

—–⁣

8. กองทุนรวมที่ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก⁣

ความเสี่ยงระดับ 8⁣

เน้นลงทุนในทางเลือกอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากสินทรัพย์พื้นฐาน เช่น ทองคำ น้ำมัน และโครงสร้างพื้นฐาน⁣

เหมาะกับใคร: คนที่ต้องการลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยรวม

กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Fund: FIF) มี 3 แบบ⁣

⁣1. บลจ. ไทยนำเงินไปลงทุนเองโดยตรง⁣

2. กองทุนรวมที่นำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ เพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund)⁣

3. กองทุนรวมที่นำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ หลายกอง (Fund of Funds)⁣

กองทุนต่างประเทศต้องประเมินเรื่องค่าธรรมเนียมที่มากขึ้น และความเสี่ยงจากอัตราและเปลี่ยนด้วยนะคะ

กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund)⁣
Vs. กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT)⁣

หลักการที่เหมือนกัน: ⁣
กองนำเงินลงทุนไปซื้ออสังหาริมทรัพย์มาปล่อยเช่า หรือบริหารจัดการ จากนั้นนำค่าเช่า / รายได้มาจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุน⁣

ปัจจุบัน Property Fund จะไม่มีออกมาใหม่แล้ว เนื่องจาก กลต. ให้ออกในรูปของ REIT แทนทั้งหมด มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพื่อส่งเสริมอัตราการเติบโตที่ดีขึ้น⁣

กองทุนปิด เปิด IPO ให้นักลงทุนครั้งเดียว หลังจากนั้นสามารถทำการซื้อขายกันในตลาดหลักทรัพย์เหมือนซื้อขายหุ้น

กองทุนที่ได้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษี

⁣⁣- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF: Retirement Mutual Fund) สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท ⁣

– กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF: Super Saving Funds) สามารถนำมาลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท โดยให้สิทธิประโยชน์สำหรับลดหย่อนภาษี 5 ปี ⁣

– กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) / กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ (กบข.) / กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน สามารถนำมาลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี และตามจำนวนที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท⁣

– กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกิน 13,200 บาท⁣

จุดเด่นคือ ใช้เงินลงทุนไม่มาก กระจายความเสี่ยง และค่าใช้จ่ายในการซื้อขายต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป ⁣

ตัวอย่าง⁣
ETF ที่อ้างอิงดัชนี SET50 เงินลงทุนจะถูกกระจายไปซื้อหุ้นทั้ง 50 ตัว ในสัดส่วนเดียวกับที่อยู่ในดัชนี SET50 ⁣
:⁣
คล้ายการซื้อขายหุ้น สามารถซื้อขายแบบ Real-Time ได้ในตลาดหลักทรัพย์ฯ

กองทุนน่ารู้อื่น ๆ⁣

กองทุนทริกเกอร (Trigger Fund)⁣

กองทุนที่ตั้งเป้าหมายผลตอบแทนการลงทุนเอาไว้ตั้งแต่เปิดขายกอง ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยกำหนดเอาไว้ว่า หากผลตอบแทนเป็นหรือไม่เป็นไปตามเป้าหมาย (trigger หรือไม่ trigger) กองทุนจะดำเนินการอย่างไร ⁣

เช่น ถ้าผลตอบแทนบรรลุเป้าหมายที่กำหนด กองจะคืนเงินแก่ผู้ลงทุนและเลิกกองทุน หรือถ้าครบระยะเวลาที่กำหนดไว้⁣

แต่ผลตอบแทนยังไม่ถึงเป้าหมาย ก็อาจจะแปลงสภาพเป็นกองทุนเปิด ให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถเลือกขายคืนหน่วยลงทุนในตลาดได้ เป็นต้น⁣

—-⁣

กองทุนรวมแบบมีประกัน (Guarantee Fund)⁣

มีบุคคลอื่นหรือกลไกทางการเงินมารับประกันเงินลงทุน ค่อนข้างปลอดภัยแต่ก็แลกกับผลตอบแทนที่ต่ำลง⁣

—-⁣

กองทุนรวมคุ้มครองเงินต้น (Principle or Capital Protection Fund)⁣

เน้นลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารหนี้ ที่มีความเสี่ยงต่ำ

#เริ่มต้นวันนี้ดีที่สุด ขอให้ทุกท่านโชคดีและมีอิสรภาพในการใช้ชีวิต

อิสรภาพชีวิต !! อยู่ไหนก็ไม่พลาด อย่าลืมกดติดตามนะครับ หรือเพิ่มช่องทางการสื่อสารได้เลย

ส่งข่าวสารถึงมือผ่าน คลิกเลย

#ถ้าไม่อยากพลาดแนวคิดการลงทุนและไอเดียการลงทุนดี ๆ อย่าลืมกด subscribe และ กดกระดิ่งนะครับ คลิกเลย

Picture of Vareeporn N.

Vareeporn N.

1005